สเต็มศึกษา (STEM) ความหมายกระบวนการออกแบบการจัดการเรียนรู้
1. ความหมายของสะเต็มศึกษา
สะเต็มศึกษาเป็นนวัตกรรมการจัดการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่เป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์วิศวกรรมศาสตร์
เทคโนโลยี และคณิตศาสตร์เข้าด้วยกัน
ให้ผู้เรียนนำได้ความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในชีวิตจริงอีกทั้งเป็นการพัฒนากระบวนการหรือผลผลิตใหม่ที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและการประกอบอาชีพผ่านประสบการณ์ในการทำกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานเป็นฐาน
(Project-Based
Learning) หรือกิจกรรมการเรียนรู้แบบใช้ปัญหาเป็นฐาน (Problem
- Based Learning)
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
(2557: 4) ได้ให้ความหมายของ สะเต็มศึกษา
ไว้ว่า เป็นแนวทางการจัดการศึกษาที่เป็นการบูรณาการวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เพื่อมุ่งแก้ปัญหาที่พบเห็นในชีวิตจริง
เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์
และเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนในการปฏิบัติงานที่ต้องใช้องค์ความรู้และทักษะกระบวนการด้านวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี รวมทั้งนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมในอนาคต
Amanda Shackleford Roberts (2013: 7) ได้ให้ความหมายของสเต็มศึกษาไว้ว่า
เป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์
และคณิตศาสตร์ ผ่านวิธีการจัดการเรียนการสอนที่ใช้ปัญหาเป็นฐาน
การค้นพบและการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง นอกจากนี้นักเรียนต้องเป็นผู้แก้ปัญหาเอง
รวมถึงต้องมีวิธีการแก้ไขปัญหาอย่างชัดเจน
จากความหมายข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า
สเต็มศึกษาเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการวิชาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี
วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์
โดยผ่านกระบวนการจัดการเรียนสอนที่ใช้ปัญหาที่พบเจอในชีวิตประจำวันมาออกแบบเพื่อแก้ปัญหานั้น
เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์
เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมในอนาคต
สรุปอย่างง่ายๆอีกทีคือมันก็คือ
การจัดการเรียนรู้แบบบูรณาการ(บูรณาการ วิทย์ คณิต วิศวะการงานอาชีพและเทคโนโลยี)
นั่นแหละโดยผ่านกระบวนการจัดการเรียนสอนที่ใช้ปัญหาที่พบเจอในชีวิตประจำวันมาออกแบบเพื่อแก้ปัญหานั้น
เพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ ทักษะชีวิต ความคิดสร้างสรรค์ เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรมในอนาคต
2. แผนแบบสเต็มเริ่มจากไหนดี
การเริ่มก็เหมือนกับการเขียนแบบบูรณาการโดย
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2557: 14 - 15)
ได้ระบุขั้นตอนของการสร้างหน่วยการเรียนรู้แบบบูรณาการไว้ว่า
1) กำหนดหัวเรื่อง
วิธีกำหนดรูปแบบที่ 1
กำหนดหัวเรื่องก่อน
วิธีกำหนดรูปแบบที่ 2
กำหนดหัวเรื่องหลังจากผสมผสานวัตถุประสงค์การเรียนรู้ร่วมของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง
ๆ โดยกำหนดจากเรื่องต่อไปนี้
1.1) มโนทัศน์
1.2) ประเด็นปัญหา
1.3) เรื่องที่เป็นปัญหา
1.4)
เรื่องที่ต้องใช้การสืบสอบ/แก้ปัญหา
1.5)
แหล่งการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการค้นคว้า
1.6) ความสนใจของผู้เรียน
2) ทำเครือข่ายความคิด หรือผังความคิด
หรือผังกราฟิก เกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของเรื่อง ดังนี้
2.1)
เนื้อหาในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับหัวเรื่อง
2.2) หัวเรื่อง
และทักษะของกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
3)
จัดเรียงลำดับเนื้อหาและทักษะต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องเพื่อนำไปวางแผนการจัดการเรียนรู้
4) วางแผนการจัดการเรียนรู้
4.1) ระบุมโนทัศน์
4.2)
กำหนดวัตถุประสงค์การเรียนรู้
4.3) จัดกิจกรรมการเรียนรู้
4.4) เตรียมสื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้
4.5)
กำหนดวิธีการประเมินการเรียนรู้
การสร้างแผนแบบสเต็มตามทัศนะของผู้เขียนจะยึดหลัก
2 ข้อดังนี้ 1.
ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นสิ่งของที่อลังการเพราะเราโฟกัสที่กระบวนการแก้ปัญหาของผู้เรียน
2. การกำหนดธีม ต้องเป็นธีมที่เป็นปัญหาในชีวิต เช่น
เราจะสอนเรื่องอาหารกับการดำรงชีวิต(ม.2)
เราก็ต้องไปดูหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานว่า เค้าให้รู้เรื่องนี้ไปทำไม
ทำให้เด็กตระหนักเรื่องการรับประทานอาหารหรือเปล่าดังนั้นจึงสรุปว่า
ธีมปัญหาของเราคือการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการของผู้เรียน หรือ
ปฏิกิริยาเคมี เค้าให้รู้เรื่องนี้ไปทำไม
เพื่อนำไปใช้เกี่ยวกับการป้องกันปฏิกิริยาเคมีที่อันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในชีวิตหรือเปล่า
ดังนั้นก็เลยสรุปว่า ธีมปัญหาของเราคือการป้องกันตนเองจากปฏิกิริยาเคมีที่เป็นอันตราย
หรือ เรื่องดิน รู้เรื่องดินไปทำไม ลักษณะของดินที่อุดมสมบูรณ์
การปรับปรุงดินสำหรับปลูกพืช ดังนั้นจึงสรุปว่า ธีมปัญหาของเราคือดินเสื่อมคุณภาพ
จะเห็นได้ว่าผู้เขียนพยายาม
ใช้สเต็มศึกษาในทุกศาสตร์ของวิชาวิทยาศาสตร์พื้นฐานระดับ ประถมและมัธยมต้น
เพื่อแสดงให้เห็นว่า สเต็มศึกษา ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะวิชาฟิสิกส์เท่านั้น
แต่ถึงกระนั้นการจัดการศึกษาภาคบังคับต้องคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย
ดังนั้นหากเรื่องใดไม่สามารถเชื่อมโยงเข้ากับชีวิตประจำวันได้แสดงว่า นักเรียน ครู
ไม่ได้สอบตกในเรื่องนั้น แต่คนเขียนหลักสูตรต่างหากที่สอบตก
เพราะนักศึกษาครู(ไม่รู้เป็นทุกมหาวิทยาลัยหรือเปล่านะ)
โดยกรอกหูเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล การจัดการศึกษาสำหรับผู้เรียนที่มีทั้ง
เก่ง กลาง อ่อน ให้สามารถมารถเรียนรู้หรือพัฒนาได้
แต่ถ้าหากเรายัดเนื้อหาที่ยากสำหรับเด็กอ่อน เรียนรู้ช้า
คนที่เป็นคนเขียนหลักสูตรคงต้องพิจารณาตนเอง
สุดท้ายนี้อย่างที่บอกไป สเต็มศึกษา
จะจัดการเรียนรู้โดยอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม ต้องขอบคุณ
คุณวรรณา รุ่งลัษมีศรี
ที่ทำวิจัยเสนอไอเดียเกี่ยวกับกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรมไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2550
ทำให้ผู้เขียนมีแบบอย่าง และแหล่งข้อมูลที่ใช้ศึกษา โดยผู้เขียนได้ปรับปรุงจากของคุณวรรณา
ซึ่งขั้นตอนการจัดการเรียนรู้มีดังนี้
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
1) ขั้นตั้งคำถาม (ask)
1.1)
กระตุ้นให้นักเรียนมีแรงจูงใจในการเรียน
และบทเรียนโดยการใช้สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา
1.2)
กระตุ้นให้นักเรียนระบุปัญหาที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์ เพื่อนำไปสู่แนวทางแก้ไข
1.3)
กระตุ้นให้นักเรียนใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เพื่ออภิปรายคำถาม ว่าเป็นการถามเกี่ยวกับสิ่งใด
เป็นความรู้ในบทเรียนเรื่องใด วิทยาศาสตร์ (Science) สามารถเลือกใช้ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
เพื่อระบุปัญหา ที่จะนำไปสู่การหาวิธีการแก้ปัญหา
2) ขั้นจินตนาการวิธีแก้ปัญหา (imagine)
2.1)
อภิปรายถึงปัญหาที่สนใจศึกษา
การใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องเพื่อใช้ในการแก้ปัญหา
2.2)
ระดมสมองเพื่อหาแนวทางแก้ไข
โดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหา โดยต้องคำนึงถึงการนำไปใช้ประโยชน์
และความสวยงามของผลิตภัณฑ์
2.3)
รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาแบบต่าง ๆ
โดยเชื่อมโยงความรู้จากหลายสาขาวิชา
2.4)
เลือกวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด เพื่อออกแบบกิจกรรมที่จะปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา
วิทยาศาสตร์ (Science)
สังเคราะห์แนวคิด
และการนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่เกิดขึ้น
เพื่อจะนำไปสู่การวางแผนต่อไป
3) ขั้นวางแผน (plan)
3.1)
การระบุขั้นตอนการแก้ปัญหาเพื่อออกแบบกิจกรรมที่จะปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหาหรือสร้างสิ่งประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการแก้ปัญหา
3.2)
จัดทำรายการเกี่ยวกับวัสดุและ อุปกรณ์
เครื่องมือที่ต้องใช้ในการทดลองขั้นตอนการสร้างสิ่งประดิษฐ์ หรือจัดกิจกรรม
3.3) เลือกใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์
เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ หรือผลที่ได้ มีความน่าสนใจ สวยงาม วิทยาศาสตร์ (Science) ใช้ความรู้
ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เพื่อจัดทำรายการวัสดุ หรืออุปกรณ์ ส่วนประกอบ
ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามข้อกำหนดทางด้านเนื้อหาวิทยาศาสตร์ที่ครูกำหนดขึ้น
4) ขั้นสร้างสรรค์ผลผลิต (create)
4.1)
ทดลองตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นหรือสิ่งประดิษฐ์โดยที่ต้องใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์โดยอาศัยกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรม
หรือกิจกรรมที่สามารถบอกถึงการแก้ปัญหาได้ บันทึกผลที่ได้จากการแก้ปัญหา
4.2)
สร้างผลิตภัณฑ์หรือสิ่งประดิษฐ์เพื่อตอบสนองการแก้ปัญหาได้อย่างสร้างสรรค์
บูรณาการศิลปะแขนงต่างๆในการสร้างผลิตภัณฑ์ภายใต้กรอบแนวคิดที่ครูสร้างขึ้น
4.3)
อภิปรายถึงการนำหลักการทางวิทยาศาสตร์มาใช้แก้ปัญหา วิทยาศาสตร์ (Science) การสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์
วิศวกรรมศาสตร์
(Engineering)
การสร้างผลิตภัณฑ์หรือการสิ่งประดิษฐ์โดยที่ต้องใช้หลักการของวิทยาศาสตร์โดยต้องอาศัยกระบวนการของออกแบบทางวิศวกรรม
หรือกิจกรรมที่สามารถบอกถึงการแก้ปัญหาได้
5) ขั้นปรับปรุง (improve)
5.1) นำเสนอผลของแต่ละกลุ่ม
พร้อมวิธีการปรับปรุงแก้ไข
5.2) ประเมินการออกแบบการทดลอง
การทำกิจกรรม และผลงานของแต่ละกลุ่ม
ผิดพลาดประการใดขออภัยครับ
โดย.......นักศึกษาครูจบแล้ว(ดาวไงจะใครล่ะ)
******************************
อ้างอิง...........ขอบคุณรูปภาพจากทาง สสวท.ด้วยครับ
วรรณา รุ่งลักษมีศรี. (2551). ผลของการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการออกแบบทางวิศวกรรมที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาเชิงวิทยาศาสตร์
และทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ขั้นผสมผสานของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น
ในโรงเรียนสาธิต.
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, สถาบัน. (2557). สเต็มศึกษา (พิมพ์ครั้งที่1). กรุงเทพฯ :
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) กระทรวงศึกษาธิการ.
Amanda
Shackleford Roberts. (2013). Preferred instructional
design strategies for preparation of
pre-service teacher of integrated STEM education. A Dissertation Submitted to
the Faculty of Old Dominion University. Old Dominion University.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น